ฝน
fon1983dsl@gmail.com
เป็นโรคปวดหัวค่ะ (1752 อ่าน)
20 ก.ค. 2561 15:54
คือดิฉันปวดหัวบ่อยมาก การปวดจะเริ่มจากต้นคอด้านซ้าย เหมือนเป็นที่เส้น แล้วปวดขึ้นไปในหัว ปวดแต่ละครั้งปวดจนอาเจียน กินยาพาราฯไม่หาย
ต้องกินยาที่รักษาไมเกรน เคยไปหาหมอค่ะ หมอก็ดูการทรงตัวและสายตาก็ปกติ และฉีดยาแก้ปวดให้ ดิฉันอยากทราบว่าพอจะมีวิธีรักษามั้ยคะ
ทรมาณมากค่ะ
58.97.36.26
ฝน
ผู้เยี่ยมชม
fon1983dsl@gmail.com
Admin
huachiewbiz@gmail.com
3 ส.ค. 2561 16:40 #1
สวัสดีค่ะ
อาการปวดศีรษะ เป็นอาการที่พบได้บ่อยและเป็นเหตุทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ มีคำกล่าวว่า ในช่วงชีวิตของคนเราต้องประสบอาการปวดศีรษะอย่างน้อยหนึ่งครั้ง สาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะมีหลากหลาย ทั้งจากความผิดปกติของร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อม อาการปวดศีรษะมักพบอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยเสมอ
การแพทย์แผนจีน แบ่งสาเหตุของการปวดศีรษะ เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1) การรุกรานจากปัจจัยก่อโรคนอกร่างกาย ปัจจัยสำคัญ คือ ลม เข้ากระทำต่อเส้นลมปราณส่วนบนของร่างกาย ทำให้ชี่และเลือดไหลเวียนไม่คล่อง
2) ความผิดปกติภายในร่างกาย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแกร่ง เช่น หยางตับเกินจากชี่คั่ง หรืออารมณ์โกรธ และ กลุ่มพร่อง เช่น ชี่และเลือดพร่อง
การวิเคราะห์และการรักษาอาการปวดศีรษะ ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้กล่าวไว้โดยละเอียดแล้ว ในตำราการฝังเข็ม รมยา เล่ม 2 ในที่นี้จะกล่าวถึง มุมมองการวินิจฉัยแยกโรคของอาการปวดศีรษะแบบการแพทย์แผนตะวันตก ร่วมกับการวินิจฉัยแยกโรคตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน โดยเน้นเฉพาะปวดศีรษะที่พบบ่อยในเวชปฏิบัติ ดังนี้
1. ปวดศีรษะแบบปฐมภูมิ
ได้แก่ ปวดศีรษะแบบตึงเครียด ปวดศีรษะไมเกรน และ ปวดศีรษะเป็นระลอก ซึ่งทั้งสามโรครวมกัน พบได้มากกว่าร้อยละ 90 ของโรคปวดศีรษะแบบปฐมภูมิทั้งหมด
1.1 ปวดศีรษะแบบตึงเครียด (Tension-type headache)
ส่วนใหญ่เกิดจากกล้ามเนื้อเครียดหรือตึงตัว (muscle strain) บริเวณหลังคอ โดยมีผลทำให้หลอดเลือดบริเวณต้นคอหดตัว ทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยง จึงเกิดอาการปวด โดยสัมพันธ์กับอารมณ์ วิตกกังวล แต่ไม่มีประวัติทางกรรมพันธุ์ อาการปวดเริ่มจากบริเวณต้นคอ แล้วกระจายไปทั่วศีรษะ ปวดเหมือนมีอะไรรัดไว้ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ซึมเศร้า ช่วงที่ปวดมาก อาจรู้สึกปวดตึงขมับ และอาจมีอาการชาร่วมด้วย อาการปวดอาจเป็นเดือนละหลายครั้ง แต่ละครั้งอาจปวดนานไม่กี่นาที หรือปวดทั้งวัน หลายวันติดต่อกันก็ได้ ส่วนมากอาการหายได้เอง ถ้าความเครียดลดลงและนอนหลับพักผ่อนได้เพียงพอ ซึ่งต่างจากสาเหตุอื่น ๆ การฝังเข็มรักษามักได้ผลดี
1.2 ปวดศีรษะไมเกรน (Migraine)
อาการปวดศีรษะไมเกรน พบมีประวัติทางพันธุกรรมประมาณร้อยละ 80 มีลักษณะ ปวดได้ 3 แบบ คือ ปวดศีรษะข้างเดียว ปวดทั้งสองข้าง และปวดสลับข้างไปมา ตำแหน่งปวดเป็นได้ทั้งที่หน้าผาก ขมับ หรือท้ายทอย อาการเริ่มแรกมักปวดรุนแรงและเฉียบพลัน นานเป็นนาที จนถึงเป็นวัน เวลาเกิดอาการไม่แน่นอน ช่วงที่มีอาการ หากมีการเคลื่อนไหวศีรษะจะทำให้ปวดมากขึ้น อาการร่วมสำคัญที่ใช้แยกอาการปวดศีรษะจากสาเหตุอื่น คือ คลื่นไส้ อาเจียน กลัวแสง เสียง หรือกลิ่น โดยอาการกลัวแสงจะพบได้บ่อยกว่า หลังจากหายปวด ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนล้า การฝังเข็มรักษาได้ผลดี แต่ไม่หายขาด
1.3 ปวดศีรษะเป็นระลอก (Cluster headache)
เป็นอาการปวดศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงแบบเป็นระลอกหรือเป็นชุด มีลักษณะการปวดตุบ ๆ บริเวณขมับ รอบตา หรือกระบอกตาข้างใดข้างหนึ่ง อาการปวดจะเกิดเป็นช่วง ๆ แต่ละช่วงนาน 15 – 180 นาที โดยอาการอาจเกิดทุกวันหรือเว้นวัน ส่วนใหญ่เกิดวันละ 1 – 2 ครั้ง แต่บางรายอาจเกิดบ่อยถึงวันละ 8 ครั้ง การปวดแต่ละชุด อาจใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ และมีช่วงเวลาที่หายจากอาการปวดเป็นเดือนหรือเป็นปี อาการที่อาจพบร่วมด้วย ได้แก่ น้ำตาไหล คัดจมูก น้ำมูกไหล เหงื่อออกหน้าผาก ใบหน้าข้างที่มีอาการปวด อาจพบอาการบวมที่เปลือกตา หนังตาตก (ptosis) รูม่านตาหด (miosis) การปวดศีรษะเป็นระลอกพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 5 – 6 เท่า และพบน้อยกว่าปวดศีรษะไมเกรน 10 – 50 เท่า ประมาณร้อยละ 10 พบมีประวัติโรคในครอบครัว เป็นโรคที่รักษายาก อาจใช้วิธีฝังเข็มร่วมกับรมยา
ศาสตร์การแพทย์แผนจีน วิเคราะห์อาการปวดศีรษะแบบปฐมภูมิ มีสาเหตุมาจากความผิดปกติภายในร่างกาย โดยมีสาเหตุและกลไกการเกิดโรคแตกต่างกัน ได้แก่
1) เกิดจากลม ความเย็น และความชื้น อุดกั้นเส้นลมปราณ ทำให้เลือดและชี่ไหล เวียนไม่คล่องจึงเกิดอาการปวด
2) จากอารมณ์แปรปรวน โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ ทำให้เส้นลมปราณตับและถุงน้ำดีติดขัดเกิดชี่คั่ง ชี่ที่ติดขัดนานวันจะแปรสภาพเป็นไฟ ไปรบกวนทวารสมอง
3) จากความชื้นสะสมจนแปรสภาพเป็นเสมหะ ไปอุดกั้นเส้นลมปราณ ทำให้เลือดและชี่ไหลเวียนไม่คล่อง
4) จากร่างกายที่ไม่สมบูรณ์แต่กำเนิด สมองและไขกระดูกว่างเปล่า ส่วนใหญ่มักพบปวดศีรษะสัมพันธ์กับการมีประวัติโรคในครอบครัว
5) จากมีเลือดคั่ง ทำให้การไหลเวียนของชี่ไม่คล่อง
6) เกิดจากชี่และเลือดพร่อง เนื่องจากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำงานหนักหรือเครียดเกิน สุขภาพทรุดโทรมจากโรคเรื้อรัง หรือมีภาวะพร่องมาแต่กำเนิด
101.108.242.117
Admin
ผู้เยี่ยมชม
huachiewbiz@gmail.com