รักษาโรคอัมพาตใบหน้า Bells Palsy ด้วยการฝังเข็ม

Last updated: 2 ก.ค. 2567  |  30849 จำนวนผู้เข้าชม  | 

รักษาโรคอัมพาตใบหน้า Bells Palsy ด้วยการฝังเข็ม

โรคอัมพาตใบหน้า "Facial paralysis" หรือ "Bells Palsy" 
เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง พบได้ในทุกเพศทุกวัย เป็นภาวะที่เส้นประสาทใบหน้า (เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7) ที่อยู่ภายใน Stylomastoid foramen สูญเสียการทำงานจากสาเหตุต่างๆ เช่น การติดเชื้อ หรือได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น

อัมพาตของใบหน้าที่เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทใบหน้า (เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 facial nerve) ด้วยสาเหตุต่างๆ อาการทางคลินิกจะพบว่า มีอาการอ่อนกำลังของกล้ามเนื้อบนใบหน้า ทำให้หลับตาได้ไม่แน่นสนิท และมุมปากเบี้ยวเอียงลงปิดปากไม่สนิทแน่น มีอาการเสียการรับรสของปลายลิ้นด้านที่เป็น และในระยะแรกๆของโรคอาจมีอาการปวดหลังใบหู ในทางการแพทย์แผนจีนถ้ามี "deviation of the mouth" เรียก "Kou Wai (口歪)"
หรือ " Kou Pi(口僻)"   ถ้ามี "deviation of mouth and eye" เรียก "Kou Yan Wai Xie口眼歪斜"


สาเหตุการเกิดโรค
สาเหตุของของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด แต่มีสมมติฐานว่าโรคอัมพาตใบหน้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Zoster ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเส้นประสาทใบหน้าหดเกร็ง บวมน้ำ ถูกกดทับ หรืออาจเกิดจากเยื่อหุ้มกระดูกใน Stylomastoid foramen อักเสบ ทำให้เส้นประสาทใบหน้าถูกกดทับ การไหลเวียนของเลือดติดขัดส่งผลให้เส้นประสาทใบหน้าอักเสบ พยาธิสภาพของโรคนี้คือ เส้นประสาทใบหน้าบวมน้ำ มีการหลุดลอกของ myelin sheath และในระยะท้ายเกิดการเสื่อมของ axon


Cr.Photo : zhuanlan.zhihu.com


อาการของโรค
โรคอัมพาตใบหน้ามักเกิดที่ใบหน้าเพียงข้างเดียว อาการที่พบได้แก่ มุมปากเบี้ยวและตาปิดไม่สนิทเป็นอาการหลัก ประกอบกับรอยย่นที่หน้าผากและร่องแก้มหายไป ยักคิ้วหรือขมวดคิ้วไม่ได้ เคี้ยวอาหารหรือดื่มน้ำได้ลำบาก ผิวปากหรือทำแก้มป่องไม่ได้เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากไม่สามารถหดตัวได้ อาจมีอาการตาแห้ง น้ำลายแห้ง การรับรสชาติอาหารลดลง มีความไวต่อเสียง หรือเจ็บบริเวณหูร่วมด้วย ในกรณีที่ติดเชื้อไวรัส Herpes Zoster จะเกิดตุ่มน้ำใสบริเวณหูและใบหน้า หรือมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย


Ce.Photo :  healthtalk.pixnet.net

ระยะการเกิดโรค
แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

1. ระยะแรก (ระยะเฉียบพลัน)
ตั้งแต่เริ่มป่วยจนถึง 15 วัน


2. ระยะกลาง (ระยะฟื้นตัว)
ตั้งแต่วันที่ 16 จนถึง 6 เดือน


3. ระยะสุดท้าย (ระยะมีอาการหลงเหลือ)
ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป


การแยกแยะโรค
เนื่องจากอัมพาตใบหน้าอาจเป็นความผิดปกติจากโรคอื่นได้ด้วย ดังนั้น ในการวินิจฉัยจึงจำเป็นต้องแยกแยะออกจากโรคอื่นด้วย เช่น

1. Ramsay - Hunt syndrome เป็นภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Zoster ที่กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและหู มีตุ่มน้ำใสบริเวณหู เวียนศีรษะ ไวต่อเสียง ทนต่อเสียงดังไม่ได้ มีปัญหาการรับรสของลิ้น

2. Central facial nerve palsy มักเจอในกลุ่มโรคหลอดเลือดสมอง เกิดอัมพาตครึ่งซีกในครึ่งล่างของใบหน้า คือกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนบน (คิ้วและตา) ทำงานได้ปกติ กล้ามเนื้อใบหน้าส่วนล่างเป็นอัมพาต ส่วนการรับรส การได้ยิน และต่อมน้ำลายทำงานได้ปกติ

3. Guillain - Barre syndrome มักพบอาการอัมพาตของใบหน้าทั้งสองด้าน มีอาการแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย

4. โรคหูชั้นในหรือชั้นกลางอักเสบ หรือโรคหูน้ำหนวก มักมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน และมีประวัติหูชั้นกลางอักเสบร่วมด้วย
            
ในทางการแพทย์แผนจีน โรคอัมพาตใบหน้าจัดอยู่ในโรคหน้าเบี้ยว 面瘫


Cr.Photo : member.healthyd.com/space.php


สาเหตุและกลไกการเกิดโรค
ผู้ป่วยมักมีประวัติการทำงานหนักมากเกินไป ร่างกายอยู่ในภาวะพร่อง เมื่อโดนลมต่างๆ (ลมเย็น ลมร้อน ลมชื้น ลมเสมหะ) กระทบที่ใบหน้า ทำให้ชี่และเลือดอุดกั้นที่เส้นลมปราณลั่ว เมื่อเส้นลมปราณลั่วติดขัด จึงส่งผลให้การทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าผิดปกติ กล้ามเนื้อใบหน้าไม่สามารถหย่อนและหดตัวได้ เป็นเหตุให้เกิดโรคหน้าเบี้ยว

โดยเส้นลมปราณลั่ว คือ เส้นลมปราณย่อยที่แตกแขนงออกมาจากเส้นลมปราณจิง (เส้นลมปราณหลัก) กระจายตัวเป็นเครือข่ายออกไปตามผิวหนัง รวมทั้งเชื่อมโยงอวัยวะกลวงและตัน มีหน้าที่นำชี่และเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานได้ปกติ
 

การวินิจฉัยแยกกลุ่มอาการ
1.  ลมเย็นกระทำต่อเส้นลมปราณลั่ว พบในระยะแรก มีประวัติถูกลมเย็น ลิ้นเล็กฝ้าบางขาว ชีพจรลอยแน่น

2. ลมร้อนกระทำต่อเส้นลมปราณลั่ว
พบในระยะแรก มักเกิดหลังเป็นหวัด มีไข้ หรือติดเชื้อไวรัส ลิ้นแดง ฝ้าบางเหลือง ชีพจรลอยเร็ว


3. ลมชื้นและเสมหะกระทำต่อเส้นลมปราณลั่ว
พบในระยะแรก มีอาการหน้ากระตุกหรือเกร็งชา วิงเวียนศีรษะ ศีรษะหนัก แน่นหน้าอก มีเสมหะร่วมด้วย ลิ้นอ้วน ฝ้าหนาขาว ชีพจรตึงลื่น


4. ชี่และเลือดไม่เพียงพอ
พบในระยะฟื้นตัวหรือเป็นโรคมานาน มักมีอาการเวียนศีรษะ แขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย หน้าซีด ลิ้นสีอ่อน ชีพจรอ่อน


5. ชี่พร่องและเลือดคั่ง
พบในระยะหลังของการเกิดโรค อาจมีอาการกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกร่วมด้วย ลิ้นคล้ำอ่อน ฝ้าบางขาว ชีพจรเล็กฝืดหรืออ่อน


หลักการรักษาโดยวิธีแพทย์แผนจีน
"ขจัดลม ทะลวงเส้นลมปราณลั่ว เพิ่มภูมิต้านทานและการไหลเวียนเลือด"







แบ่งตามระยะของโรค
1. ระยะแรก (ระยะเฉียบพลัน)
ใช้วิธีขจัดลมและเสียชี่ที่อุดตันเส้นลมปราณลั่ว


2. ระยะกลาง (ระยะฟื้นตัว)
ใช้วิธีสลายเลือดคั่งและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ควบคู่กับการบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร


3. ระยะสุดท้าย (ระยะมีอาการหลงเหลือ)
ใช้วิธีบำรุงตับและไต สงบลม ลดการเกร็ง


แบ่งตามกลุ่มอาการโรค
1. ลมเย็นกระทำต่อเส้นลมปราณลั่ว
ใช้วิธีขจัดลมหนาว อบอุ่นเส้นลมปราณ


2. ลมร้อนกระทำต่อเส้นลมปราณลั่ว
ใช้วิธีขจัดลมดับร้อน ทะลวงเส้นลมปราณลั่ว เพิ่มการไหลเวียนเลือด


3.  ลมชื้นและเสมหะกระทำต่อเส้นลมปราณลั่ว
ใช้วิธีขจัดลมสลายเสมหะ ทะลวงเส้นลมปราณลั่ว ลดการเกร็ง


4.  ชี่และเลือดไม่เพียงพอ
ใช้วิธีบำรุงชี่และเลือด สงบลม ลดการเกร็ง


5.  ชี่พร่องและเลือดคั่ง
ใช้วิธีบำรุงชี่เพิ่มการไหลเวียนเลือด ทะลวงเส้นลมปราณลั่ว ลดการเกร็ง


 

ตัวอย่างกรณีการรักษาผู้ป่วยโรคอัมพาตใบหน้า

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อ-นามสกุล  น.ส.จิตXXX  XXX     
เพศหญิง     อายุ  29 ปี


เลขประจำตัวผู้ป่วย  297XXX

วันที่รับการรักษา  4 มกราคม 2562

อาการสำคัญ  ปากขวาเบี้ยวและตาขวาปิดไม่สนิท 2 สัปดาห์

ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
- สองอาทิตย์ก่อนผู้ป่วยมีประวัติเป็นหวัด
และไม่ได้เข้ารับการรักษา  
- หลังจากนั้นเมื่อใบหน้าโดนพัดลมเป่า
ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บบริเวณหูหลังด้านขวา
- ต่อมาปากขวาเบี้ยว ตาขวาเบี้ยวลงและปิดไม่สนิท
- ดื่มน้ำแล้วมีน้ำไหลออกจากมุมปากขวา
- หน้าด้านขวามีอาการชา
- การได้ยินของหูขวาลดลง หูขวาไวต่อสัมผัส
- ปลายลิ้นรับรสไม่ได้

- ต่อมาผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
- แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคอัมพาตใบหน้าด้านขวา
- รักษาโดยการให้ยา 1 คอร์สการรักษา (รายละเอียดไม่ชัดเจน)
- ผู้ป่วยรู้สึกอาการดีขึ้นไม่มาก  
- ผู้ป่วยไม่มีตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณหู
- ไม่มีมองเห็นเลือนลาง ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน
- ไม่มีประวัติได้รับการกระทบกระแทกบริเวณศีรษะ
- ไม่มีกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ไม่มีพูดจาไม่คล่อง


ประวัติปัจจุบัน 
- ปากด้านขวาเบี้ยว ตาขวาปิดไม่สนิท
หลับตาแล้วเห็นตาขาว
- บางครั้งมีน้ำตาไหล
- รอยย่นหน้าผากขวาและรอยข้างแก้มขวาหายไป
- เมื่อดื่มน้ำมีน้ำไหลออกจากมุมปากขวาบ้างบางครั้ง
- ป่องแก้มมุมปากขวามีลมรั่ว
- ผู้ป่วยรู้สึกใบหน้าขวาชา
- หูขวายังไวต่อสิ่งกระตุ้น กลัวร้อน
- ปากแห้งชอบดื่มน้ำเย็น
- เหนื่อยง่าย
- รับประทานอาหารได้ปกติ
- การขับถ่ายปกติ
- นอนไม่หลับเนื่องจากวิตกกังวล
- เข้านอนได้ยาก ตื่นตอนกลางคืน


ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต  - ไม่มี

การตรวจร่างกาย
ผู้ป่วยถามตอบได้ พูดคุยรู้เรื่อง ใบหน้าขวาเบี้ยว ยักคิ้วขวาไม่ได้ รอยย่นหน้าผากขวาหายไป ตาขวาปิดไม่สนิท ยิ้มยิงฟันแล้วรอยข้างแก้มขวาหาย ปากขวาเบี้ยว ป่องแก้มและผิวปากมีลมรั่วที่มุมปากขวา ลิ้นแดงฝ้าบางเหลือง ชีพจรเร็วและตึง


การวินิจฉัย หน้าเบี้ยว (面瘫)
จากกลุ่มอาการลมร้อนกระทำต่อเส้นลมปราณลั่ว (风热袭络证)


อัมพาตใบหน้าด้านขวา
การรักษา ขจัดลมระบายร้อน ทะลวงเส้นลมปราณลั่ว

คำแนะนำแพทย์เพื่อให้ผู้ป่วยนำไปปฏิบัติเพื่อช่วยส่งเสริมการรักษา 
1. หลีกเลี่ยงการโดนลม  ป้องกันโดยใส่หน้ากากอนามัยหรือแว่นตา
2. พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย
3. บริหารกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นประจำ

การประเมินผลการรักษา ครั้งที่ 1 (วันที่ 11 มกราคม 2562 )
- หลังการฝังเข็มรักษา 3 ครั้ง อาการผู้ป่วยโดยรวมดีขึ้น
- กล้ามเนื้อใบหน้าขวาเคลื่อนไหวได้มากขึ้น
- หลับตาได้เกือบสนิท ใบหน้าขวาชาน้อยลง
- รอยย่นที่หน้าผากและข้างแก้มลึกขึ้น
- ปากขวาเบี้ยวน้อยลง ป่องแก้มได้ดีขึ้น
- ลิ้นรับรสได้มากขึ้น บางครั้งมีเสียงอื้อในหู
- อ่อนเพลียง่าย
- นอนหลับดีขึ้น แต่ยังคงตื่นตอนกลางคืน
- ลิ้นแดงฝ้าบาง ชีพจรตึงและลื่น


การประเมินผลการรักษาครั้งที่ 2  (วันที่ 19 มกราคม 2562)
- หลังการฝังเข็มรักษา 6 ครั้ง กล้ามเนื้อใบหน้าขวาเคลื่อนไหวเกือบปกติ
- หลับตาขวาได้สนิท  
- รอยย่นที่หน้าผากและข้างแก้มลึกขึ้นกว่าครั้งก่อน
- ปากขวายังเบี้ยวเล็กน้อย
- เมื่อป่องแก้มยังรั่วเล็กน้อย ลิ้นรับรสได้ปกติ
- การฟังของหูขวาปกติ
- นอนหลับได้ดีวันละ 6-7 ชั่วโมง  
- ลิ้นแดงฝ้าบางขาว ชีพจรตึงและลื่น


วิเคราะห์ผลการรักษา
- เนื่องจากคนไข้มีประวัติเคยเป็นหวัดและใบหน้าโดนพัดลมเป่า
- มีอาการเจ็บบริเวณหูด้านขวา กลัวร้อน ปากแห้งและชอบดื่มน้ำเย็น
- ประกอบกับลิ้นแดงฝ้าบางเหลือง ชีพจรเร็วและตึง

วิเคราะห์คนไข้รายนี้จัดอยู่ในกลุ่มอาการลมร้อนกระทำต่อเส้นลมปราณลั่ว
- ใช้วิธีขจัดลมดับร้อน ทะลวงเส้นลมปราณลั่วในการรักษา เพื่อให้ชี่และเลือดที่อุดกั้นที่ใบหน้าไหลเวียนได้คล่องขึ้น ทำให้การทำงานของเส้นเอ็นบริเวณใบหน้า และการหดคลายตัวของกล้ามเนื้อใบหน้ากลับมาทำงานได้ปกติ 


สรุปผลการรักษา
จากเคสตัวอย่างข้างต้นเห็นได้ว่าจากการรักษาโดยการฝังเข็ม อาการอัมพาตใบหน้าของผู้ป่วยดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับจนเกือบกลับคืนสู่ภาวะปกติ การรักษาโรคอัมพาตใบหน้าด้วยการฝังเข็มจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดี และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับตัวผู้ป่วย อีกทั้งการฝังเข็มยังเป็นการลดระยะเวลาการฟื้นฟู ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบนใบหน้าส่วนที่เป็นอัมพาต อีกทั้งยังสามารถเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายได้อีกด้วย



บันทึกข้อมูลการรักษาโดย 
แพทย์จีน พิมพิชญ์ มุจลินทโมลี  (เจี่ย จิ้ง เหวิน)

แพทย์จีนฝังเข็ม  คลินิกหัวเฉียวแพทย์แผนจีน

อ่านข้อมูลการรักษาเพิ่มเติม
1. ฝังเข็มเจ็บไหม-อันตรายหรือไม่
2. ฝังเข็มรักษาโรคได้อย่างไร ?
3. การรมยาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน
4. การรักษา Stroke中风-จ้งเฟิง-อัมพฤกษ์-อัมพาต
5. การฝังเข็มปลุกสมองเปิดทวาร


สอบถามข้อมูลการรักษาเพิ่มเติม
Hotline : 095-884-3518
LINE@ : @huachiewtcm


 ดูแผนที่การเดินทางของทุกสาขา

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้