Last updated: 2 ก.ค. 2567 | 14164 จำนวนผู้เข้าชม |
ใครเป็นไขมันพอกตับบ้างยกมือขึ้น !!! หลายคนถามว่าไขมันพอกตับคืออะไร ? และอันตรายหรือไม่ ทำไมเดี๋ยวนี้มีคนเป็นโรคนี้มากขึ้น แล้วจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เป็นโรคนี้
ในปัจจุบันอาหารมีความหลากหลาย การสังสรรค์เข้าสังคมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ปริมาณการบริโภคที่สูงขึ้นย่อมส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราอย่างแน่นอน มีสำนวนกล่าวไว้ว่า
"กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน"
ในความเป็นจริงการดำรงชีวิตนั้นหลายคน "อยู่เพื่อกิน"
โรคไขมันพอกตับ คือโรคที่เกิดจากการสะสมไขมันมากเกินไปบริเวณตับ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพของตับ ซึ่งอัตราการเกิดโรคในปัจจุบันนับวันยิ่งสูงมากขึ้น และพบในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลง องค์ประกอบของตับโดยปกตินั้นก็มีไขมันเป็นองค์ประกอบอยู่เล็กน้อย เช่น ไตรกลีเซอร์ไรด์ คลอเรสเตอรอล ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน3-5%ของน้ำหนักตับ แต่ถ้าหากว่าตับมีการสะสมของไขมันมากเกินไป มากกว่า 5 %ของน้ำหนักตับ
อาการทางคลินิก
อาการแสดงทางคลินิก โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่มีอาการแสดงชัดเจน หรือ อาจพบอาการไม่สบายในบริเวณตับ (ใต้ชายโครงขวา) มีอาการกดเจ็บเล็กน้อยบริเวณตับ ความอยากรับประทานอาหารลดน้อยลง คลื่นไส้เล็กน้อย อ่อนเพลีย เป็นต้น
สาเหตุของโรคไขมันพอกตับ
สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ และไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์
1. ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) ซึ่งสาเหตุหลักของโรคไขมันพอกตับชนิดนี้มีสาเหตุที่ชัดเจนคือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับชนิดของแอลกอฮอล์ปริมาณการดื่ม และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
2. ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (non-alcoholic fatty liver disease) ซึ่งสาเหตุหลักของโรคไขมันพอกตับชนิดนี้เกิดจากสาเหตุอื่นๆนอกเหนือจากแอลกอฮอล์เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
การดำเนินโรคไขมันพอกตับ
โรคไขมันพอกตับมีกลไกการดำเนินโรคดังต่อไปนี้
1. ระยะเริ่มต้น เริ่มจากการสะสมของไขมันในเนื้อตับมากกว่า 5% ของน้ำหนักตับ แต่ยังไม่พบการอักเสบและผังผืดเกิดขึ้นบริเวณตับ
2. ระยะที่ 2 เมื่อเกิดการสะสมของไขมันมากขึ้นอาจทำให้เกิดอาการอักเสบของตับ หากไม่ดูแลรักษาอาจทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง
3. ระยะที่ 3 เกิดการอักเสบมากขึ้น หรือรุนแรงขึ้นทำให้เกิดผังผืดที่ตับ เซลล์ตับจะค่อยๆถูกทำลาย
4. ระยะที่ 4 เซลล์ตับเป็นผังผืดมากขึ้น ทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้อยากปกติ อาจพัฒนาทำให้เกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ต่อไปตามความรุนแรงของโรค
การดูแลรักษาเบื้องต้น
การรักษาโรคไขมันพอกตับโดยเบื้องต้น ดังต่อไปนี้
1. เมื่อผู้ป่วยทราบว่าเป็นโรคไขมันพอกตับ อันดับแรกควรสังเกตตนเองว่าท่านดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ ถ้าเป็นผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ควรค่อยๆลดปริมาณการดื่ม และงดการดื่มแอลกอฮอล์ในที่สุด
2. ควบคุมการรับประทานอาหาร งด หรือ ลด การรับประทานอาหารประเภทมัน ทอด และแป้งเยอะ เช่น หมูทอด ไก่ทอด หมูสามชั้น ข้าวขาว ขนมปังขาว เป็นต้น
3. ดื่มน้ำอุ่นให้เพียงพอ วันละ 2-3 ลิตร
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผู้ที่เป็นไขมันพอกตับแนะนำให้ออกกำลังกาย 40-60 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
การรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน
จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น โรคไขมันพอกตับจัดอยู่ในโรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งในศาสตร์การแพทย์แผนจีนนั้น โรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับอวัยวะม้าม กระเพาะอาหาร และตับอย่างใกล้ชิด
ศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้แบ่งประเภทของโรคไขมันพอกตับได้ทั้ง ภาวะแกร่ง และ ภาวะพร่องซึ่งแบ่งได้หลายประเภท เช่น
- ม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนแอ
- ชี่ตับติดขัด
- ความชื้นสะสม (อ่าน-เมื่อร่างกายมีเสมหะและความชื้นสะสมมากเกินไป)
- เลือดคั่ง
โดยสามารถใช้การรับประทานยาจีนปรับสมดุลการทำงานของตับ ลดไขมันในเลือด ชะลอการพัฒนาไปของโรค ร่วมการการดูแลตนเอง
ทั้งนี้การรักษาด้วยยาจีนจะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แผนจีนอย่างละเอียดก่อนการรักษาเท่านั้น เพื่อการวินิจฉัยและผลการรักษาได้อย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
1. ข้อแนะนำในการใช้ยาสมุนไพรจีน
2. "อาหารแสลง" ที่ควรงดระหว่างช่วงทานยาจีน
3. การรักษาด้วยยาจีน
4. กินยาจีนอย่างไรให้ได้ผลดี
บทความโดย แพทย์จีน ศิริขวัญ ก้าวสัมพันธ์ (สวี่ ถาน ลี่)
แพทย์จีนประจำคลินิกหัวเฉียวแพทย์แผนจีน สาขาศรีราชา
11 พ.ย. 2567
25 ต.ค. 2567
11 พ.ย. 2567