Last updated: 2 ก.ค. 2567 | 7858 จำนวนผู้เข้าชม |
คุณเคยประสบปัญหาเหล่านี้หรือไม่ ?
หลังรับประทานอาหารหรือก่อนนอนมีอาการแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยวจุกมาถึงคอหอย รู้สึกมีไฟสุมทรวงส่งผลให้คุณนอนไม่หลับ อาการเหล่านี้กำลังจะหมดไป เพราะวันนี้ TV INDIRECT ขอนำเสนอ ………………………………………..
เอิ่ม........ที่จริงเมื่อสักครู่นี้ก็เป็นเพียงรูปแบบทั่วๆไปที่พบได้ตามโทรทัศน์และสื่อต่างๆที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นไปตามอุปกรณ์วิเศษณ์ที่จะมาช่วยให้ชีวิตของทุกท่านสุขสบายขึ้นนะครับ แต่สำหรับอาการแบบนี้ มันคงไม่มีของวิเศษชิ้นไหนที่จะทำให้อาการหายไปได้ถาวร นอกจากตัวของคุณเองเท่านั้น
โดยอาการแสบร้อน เป็นอีกอาการที่พบบ่อยในระบบทางเดินอาหารและพบได้หลายตำแหน่งตั้งแต่ ช่องคอ ทรวงอก ลิ้นปี่ ที่ทั้งแสบหรือร่วมกับอาการปวดก็ได้ ซึ่งมักเกิดขึ้นจากอาหารหรือกรดในกระเพาะที่เกิดการไหลย้อนกลับสู่หลอดอาหาร จนเป็นที่มาของคำว่า กรดไหลย้อนนั่นเอง
วันนี้มาดูวิธีการดูแลตนเองกันก่อน ผมขอเสนอวิธีการ 7 แบบ ที่จะช่วยให้คุณมีอาการที่ดีขึ้นแบบไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์หรือยาวิเศษกันนะครับ
1.การจัดหนักไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
การรับประทานอาหารแบบจัดหนัก โดยไม่สนใจคนรอบข้าง ถือเป็นภัยมหันต์ต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะอาหารที่รับประทานเข้าไปจำเป็นต้องใช้เวลาในการย่อย หมายความว่า หากยิ่งมีปริมาณอาหารมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องตกค้างอยู่ในกระเพาะและลำไส้นานเท่านั้น ยิ่งนานยิ่งเกิดแรงดันในช่องท้องเยอะขึ้น จนส่งผลให้อาหารมีโอกาสไหลย้อนได้ง่ายเช่นกัน รวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่ตรงเวลา ก็อาจทำให้กรดในกระเพาะและน้ำย่อยออกมาไม่ตรงเวลาด้วยเช่นกัน
2.งดอาหารรสจัด
หากคุณอยากให้กระเพาะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ควรเริ่มจากการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อน ผมไม่ได้แนะนำให้ทานอาหารอ่อนๆอย่างโจ๊กที่น่าเบื่อทุกมื้อ แต่ทุกมื้อของคุณต้องใส่ใจเรื่องการเคี้ยวเสมอ แต่ที่สำคัญกว่าก็คืออาหารรสจัดไม่ว่าจะเป็น เผ็ดจัด เค็ม หวาน เปรี้ยวเกินไป ซึ่งมักปะปนอยู่ในอาหารทุกมื้อรวมถึงขนมทุกประเภทที่รับประทานเข้าไป ซึ่งมักส่งผลทำให้กระเพาะลำไส้เริ่มย่อยยาก เกิดแก๊สและเพิ่มกรดในกระเพาะมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นที่มาของอาการดังกล่าว
3.ไม่ควรรัดตึง
รัดตึงในที่นี้ผมหมายถึงการสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัวและรัดแน่น โดยเฉพาะรอบเอวที่ไม่ควรรัดแน่นเกินไป เพราะนั่นอาจทำให้เกิดแรงดันต่อช่องท้องมากขึ้นจากการบีบรัดของเสื้อผ้า จนเพิ่มโอกาสในการไหลย้อนและแสบร้อนตามไปด้วยนั่นเอง
4.อย่ารีบชนแก้ว
การเฉลิมฉลองเป็นเรื่องที่ดีหากจะมีแอลกอฮอล์มาเป็นสีสันของงาน แต่ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับคุณแน่นอนหากยังต้องการรักษาอาการแสบร้อน เพราะมันมักส่งผลเสียต่อเนื้อเยื่อในกระเพาะ ส่งผลให้เกิดภาวะอักเสบ เกิดแผลขึ้น จนเกิดอาการแทรกซ้อนมากมายในระบบทางเดินอาหารนี้
5.ลดน้ำหนักเป็นทางออกที่ดี
นั่นก็เพราะว่ายิ่งน้ำหนักของคุณมีมากเท่าไหร่ จะยิ่งส่งผลต่อแรงดันในช่องท้องเท่านั้น เท่ากับยิ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดแรงดันที่ส่งผลต่อการไหลย้อนมากขึ้นด้วยเช่นกัน
6.รักษาอุณหภูมิกันหน่อย
เข้าใจว่าพื้นฐานของประเทศไทยคืออากาศร้อนเป็นที่หนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าคุณจะต้องอยู่ห้องแอร์หรือรับประทานอาหารที่เย็นจัดตลอดเวลา เพราะแพทย์จีนมองว่ามันส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดในกระเพาะช้าลง จนเกิดการหดเกร็ง การบีบตัวช้าลง กระเพาะเริ่มแปรปรวนเพราะเลือดไหลเวียนสู่อวัยวะช้าลงจนทำให้เกิดภาวะเสียสมดุลและเกิดอาการดังกล่าวขึ้นในที่สุด
7.สภาพจิตใจเป็นนายกระเพาะ
หลายท่านมักมองข้ามเรื่องของสภาพจิตใจไปเพราะคิดว่ามันคนละส่วนกันกับระบบทางเดินอาหาร ทั้งที่จริงแล้วมันคือเรื่องเดียวกัน !!!! เพราะกระเพาะต้องพึ่งพาการสั่งการของระบบประสาท ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่สภาพจิตใจแปรปรวน ก็มักส่งผลให้การทำงานของระบบประสาทและสารคัดหลั่งในกระเพาะทำงานแปรปรวน ยิ่งหากท่านใดที่ทำงานกะดึก สภาพการใช้ชีวิตขัดแย้งกันกับนาฬิกาชีวิตแล้ว ยิ่งทำให้ระบบย่อยมีปัญหามากขึ้นเป็นเงาตามตัวอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยหลักการรักษาที่เป็นจุดเด่นของแพทย์แผนจีนนั้น เราจะเน้นไปที่พื้นฐานของผู้ป่วยเป็นสำคัญว่าสาเหตุหรือต้นตอที่แท้จริงมากจากปัญหาด้านใด โดยอาจต้องให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยถึงการดูแลปัญหาในด้านต่างๆ เช่น ปัญหาจากการใช้ชีวิต การไม่รู้จักวิธีการดูแลกระเพาะลำไส้ ความเครียด เป็นต้น จากนั้นจึงค้นหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยรายนั้นๆเฉพาะบุคคล เช่น เสริมบำรุงกระเพาะม้าม การสลายความชื้น การระบายชี่ในตับที่อุดกั้น การระบายความร้อน เป็นต้น
ส่วนท่านใดอยากรู้จักยาสมุนไพรจีนที่ใช้ในการดูแลระบบทางเดินอาหาร หรือป้องกันกรดไหลย้อนนั้น สามารถเข้าไปติดตามกันได้ ในบทความของผมที่เขียนเรื่อง “สมุนไพรจีนยอดฮิต พิชิตโรคทางเดินอาหาร” กันต่อได้เลยครับ
แพทย์จีน ต้นสกุล สังข์ทอง
6 ธ.ค. 2567
6 ธ.ค. 2567
9 ธ.ค. 2567